วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์




เกาะปริศนาที่โดดเดี่ยวอยู่กลางมหาสมุทรแห่งนี้ เป็นที่รวมของรูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป ยิ่งเป็นที่น่าสงสัยเข้าไปใหญ่เมื่อเกาะแห่งนี้ไม่มีคนอยู่ แล้วรูปสลักนี้มาจากไหนกันสร้างขึ้นได้อย่างไรเชื่อว่าอาจเป็นชาวโพลีนีเชียนที่เคยมาตั้งรกราก เมื่อ ค.ศ. 400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าจะสร้างมาเพื่ออะไร และคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ แล้วอะไรกันหละที่สร้างมันขึ้นมา??
ที่มาhttp://tensci.blogspot.com/

กะโหลกแก้วคริสตั




ปริศนาที่หลายคนเชื่อว่าได้มาจากอารยธรรมของชาวมายา ทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ที่ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะถูกสร้างขึ้นมาเองได้ ถึง 13 หัว ว่ากันว่าใครได้ครอบครองมันทั้งหมด จะสามารถอำนาจอันมหัศจรรย์ ที่ครองโลกก็ยังได้!!! ยิ่งเป็นที่น่างงงวยกันเข้าไปใหญ่ เมื่อพิพิธภัณฑ์มนุษยชาติ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาหัวหนึ่งใน ปีพ.ศ. 2441 บอกว่าเมื่อใครได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง ทำเอาพนักงานของพิพิธภัณฑ์ ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำคืน หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน
ที่มาhttp://tensci.blogspot.com/

ภาพลายเส้นนาซคา




เป็นลายเส้นลึกลับที่กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทรายนาซคา ชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นรูปภาพของสัตว์ขนาดใหญ่ ทั้งสุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ดและนก ที่ทำเอาหลายๆคนไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของตนพื้นเมืองในอดีต แต่กลับเป็นมนุษย์ต่างดาว!! มาใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งก็ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้ได้มาเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537
ที่มา http://tensci.blogspot.com/

แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์


สมญาของฆาตกรต่อเนื่อง ที่เรียกได้ว่าเป็นอาชญากรระดับโลก ที่ออกฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมในย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอน ซึ่งส่วนใหญ่เค้าจะฆ่าโสเภณี ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมอย่างเชือดคอ จะหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ บางครั้งตำรวจมาถึงที่เหตุเกิดเพียง 2-3 นาที แต่กลับไร้วี่แวว ของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีก็ยังไม่มีวี่แววว่าฆาตกรนินจานี้คือใคร?
ที่มาhttp://tensci.blogspot.com/

เรื่องประหลาดมนุษย์ผู้กินไม่เคยอิ่ม


 ในตำนานที่อยู่ในศตวรรษที่ 18 ได้มีทหารชาวฝรั่งคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ชอบการกินอาหารมาก ซึ่งเขาได้กินอาหารปริมาณมาก พอที่จะเลี้ยงคนในกองทัพได้เลย ชีวิตของเขาสามารถกินได้ตลอดทั้งวันก็ยังได้ โดยที่เขาไม่เคยอิ้มกับอาหารที่กินเข้าไปเลย ทาร์แรร์ ได้ถูกไล่ออกจากบ้านตอนช่วงวัยรุ่น เพราะครอบครัวไม่สามารถตอบสนองความอยากอาหารของเขาได้
 
 ไม่นานเขาได้กลายเป็นนักแสดงที่สร้างความประทับใจกับความสามารถกลืนกินทุกอย่างได้ในเวลาที่รวดเร็ว แม้กระทั่ง ช้อน ส้อม หรือสิ่งมีชีวิต ในช่วงสงคราม เขาได้เข้ากองทัพปฏิวัติฝรั่งเศส แต่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ คือ อาหารกองทัพไม่ทำให้เขาพอใจได้เลย จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ได้ใช้ความสามารถของเขาให้เกิดประโยชน์ ทางเจ้าหน้าที่ ให้เขาได้กลืนเอกสาร ข้ามพรมแดนศัตรู และส่งข้อความผ่านอุจจาระของเขา 

รถไฟหายเข้าไปในอุโมงค์ 42 ปี




เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลพากันปิดปากเงียบ ที่ขบวนรถด่วนขบวนหนึ่งพร้อมกับผู้โดยสารหายลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ขณะเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๒ แล้วจู่ๆโผล่ออกมาอีกในสภาพเดิมทุกอย่าง เมื่อต้นปีนี้คือ พ.ศ.๒๕๓๕ ที่ประหลาดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารจำนวน ๑๒๐ คน และพนักงานประจำรถ ๓ คน มีอายุเท่ากับวันที่หายเข้า ไปในอุโมงค์ไม่มีใครแก่อายุมากขึ้นสักวันเดียว รูปร่างเหมือนเดิมทุกอย่าง และพวกเขายังเชื่อว่า ทุกวันนี้ยังเป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ อยู่

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

ตำนานญี่ปุ่น การเล่นซ่อนหาคนเดียว

วิธีการเล่นซ่อนหาคนเดียว

อุปกรณ์
- ตุ๊กตา 1 ตัว (มีแขนและขา)
- ข้าวสาร (ปริมาณเพียงพอที่จะยัดใส่ตัวตุ๊กตาได้)
- เล็บที่ตัดแล้วหรือเส้นผม
- เข็มกับด้ายแดง
- ของมีคม (มีด กรรไกร หรือจะสว่านก็ได้ แต่ถ้าชอบความสาดิสแนะนำเลื่อยก็ดี)
- น้ำเกลือ 1 แก้ว (หรือ 1 ขวดก็ได้ตามกำลังทรัพย์)

การเตรียมการ
1.หาตุ๊กตามา 1 ตัวตั้งชื่อให้ตุ๊กตาแล้วเรียกชื่อตุ๊กตาสามครั้งเช่น มิจิ มิจิ มิจิ
2.ทำการเฉือนเอาหนุ่นภายในตัวตุ๊กตาออก เอาออกให้หมดเลย แล้วใส่ข้าวสารลงไปแทนและเล็บหรือเส้นผมของเรา(กล่าวว่าแทนอวัยวะภายในของตุ๊กตา)
3.หลังจากนั้นเย็บตุ๊กตาด้วยด้ายสีแดง ด้ายที่เหลือให้เอาไปพันตุ๊กตา(กล่าวว่าแทนเส้นเลือด)
4.ให้คิดถึงจุดที่เราจะซ่อน(และเราต้องซ่อนจุดนั้นเท่านั้น)แล้วนำน้ำเกลือไปว่างไว้​

เวลาการเล่นคือตอนตี 3 ขึ้นไป พอถึงแล้วทำตามนี้
1.ปิดไฟในบ้านทุกซอกทุกมุมให้หมดเปิดแต่ทีวีที่มีช่องซ่าๆไว้
2.หันไปบอกกับตุ๊กตาว่า "ยักษ์คือฉัน" สามครั้ง(ฉันในที่นี้หมายถึงผู้เล่น) แล้วพาตุ๊กตาไปห้องอาบน้ำหรืออ่างล้างหน้า ที่เปิดน้ำจนเต็มแล้วใส่ตุ๊กตาลงไป
3.ออกมาจากที่ดังกล่าว(ห้องน้ำนั้นแหละ)ไปที่เริ่มต้น(ที่เริ่มต้นก็คือที่ที่คนหาจะ​ต้องหลับตา)หลับตา 10 วิ
4.ถือของมีคมไปที่อ่างน้ำ(หรือที่ที่เอาตุ๊กตาไปแช่ไว้)แล้วพอว่า "เจอ(ชื่อตุ๊กตา)แล้ว" แทงตุ๊กตาหลังพูดเสร็จ เมื่อแทงเสร็จแล้วทิ้งของมีคมไว้ตรงนั้น
5.พูดว่า "ต่อไป(ชื่อตุ๊กตา)ต้องเป็นยักษ์" แล้วไปซ่อนที่ที่มีน้ำเกลือที่เราเตรียมไว้(ย้ำว่าต้องที่ที่มีน้ำเกลือที่เตรียมไว้​เท่านั้น)
6.รออีกฝ่ายมาหา(นั้นก็คือตุ๊กตานั้นเอง) ขั้นตอนทั้งหมดต้องเสร็จใน 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
7.หากจะเลิกเล่นระหว่างที่ตัวเองซ่อน(หรือตุ๊กตามาเจอคุณ!!!)ให้อมน้ำเกลือไว้แล้วพ่​นใส่ตุ๊กตาแล้วพูดว่า "ฉันชนะ" สามครั้ง(สามครั้งนะห้ามเกินห้ามขาด)
8.ตุ๊กตาที่ใช้เล่น(ไม่ว่าคุณจะรักมันแค่ไหนหรือสำคัญแค่ไหนถ้าเอามาเล่น)ให้นำมันไป​เผาทิ้งซะ

เคยมีคนทำแล้วเจอสิ่งแปลกๆเช่น
-ทีวีเปิดปิด ทีวีมีเสียงแทรกซ้อน
-ปรากฎการณ์ทางวิญญาณ พบเห็นภาพแปลกๆ
-ตำแหน่งของตุ๊กตาในขณะเลิกเล่นไม่ได้อยู่ตรงอ่างน้ำ
-มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นในจุดที่ซ่อน

ที่มา http://irpg.in.th/thread-1713.html

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559


Green Children of Woolpit



พี่น้องตัวเขียวแห่งวูลพิต (Green Children of Woolpit)

          พี่น้องชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 กลางหมู่บ้านวูลพิต ของเมืองซัฟฟอร์คในประเทศอังกฤษ จริง ๆ แล้วทั้งสองคนอาจจะเป็นแค่เด็กต่างถิ่นที่พลัดหลงมาเท่านั้น แต่ทว่าเนื้อตัวสีเขียว เครื่องแต่งกายอันแปลกประหลาด และภาษาที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เลยทำให้พี่น้องคู่นี้มีความพิเศษออกไป และได้รับความสนใจจากชาวเมืองเป็นอย่างมาก

          ในช่วงแรกทั้งสองคนไม่ยอมรับประทานอะไรเลย นอกเสียจากถั่วเขียวสดที่ผู้คนนำมาให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถปรับตัวใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติและพูดภาษาอังกฤษได้พอประมาณจึงเล่าที่มาของตัวเองให้ฟังว่า พวกเขามาจากเซนต์มาติน เมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมิด จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองคนได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่ว จึงได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเสียงนั้น ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในเมืองวูลพิตเสียแล้ว


ที่มาhttp://hilight.kapook.com/view/87799

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เรือผีสิงในตำนาน


Flying Dutchman

       คงไม่มีเรือผีที่ไหนแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า “เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน” ที่ออกหลอกหลอนคนในน่านน้ำทั่วโลกและได้เป็นแรงบันดาลใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด นิยายสยองขวัญ ภาพยนตร์ รวมทั้งเป็นชื่อเรือโจรสลัดภาพยนตร์ ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน และแม้กระทั้งโอเปร่าโดยเรือลำนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกปลายปี 1700 ในหนังสือ “Voyage” และได้รับความนิยมในยุคนั้นและจากนั้นเป็นต้นมาตำนานนี้ก็แพร่หลายไปทั่วโลก

         โดยตำนานมีอยู่ว่ากัปตันชาวดัตช์คนหนึ่งชื่อ แวน แดร์ เดคเคน (Van Der Decken) ได้นำเรือไปพบสภาพอากาศที่เลวร้ายในแหลมกู๊ด โฮป ประเทศแอฟริกาใต้ เขาพยายามนำเรือผ่าพายุนี้แต่ไม่เป็นผลจนเรือใกล้อัปปาง?ซึ่งเขาโกรธมากเขาเลยสาบานแก่ฟ้าว่า?”ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ตราบฟ้าดินสลาย”?และ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาและเรือได้กลายเป็นปีศาจที่ต้องคำสาปให้เดินทางในมหาสมุทรชั่วกัลปาวสาน ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ตราบโลกนี้สิ้นสลาย ฟลายอิ้ง ดัตช์แมนได้รับการบันทึกเป็นเอกสารมาตั้งแต่คริสต์สตวรรษที่ 17 และมีรายงานการพบเห็นเป็นครั้งคราวมาจนถึงคริสตค์สตวรรษที่ 20 เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนมักปรากฏตัวในคืนที่มีหมอกหนาทึบ บางครั้งพบเห็นเป็นแสงประหลาดในเวลากลางคืน ในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา และกัปตันผู้ซึ่งยังแต่งกายในแบบศตวรรษเก่าใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว กรีดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งชวนขนลุก หลายคนเริ่มมีความเชื่อว่าหายนะมักจะตามมาหากใครที่ได้เห็นเรือลำนี้   เช่น   ในปี ค.ศ.1881 คนประจำเรือของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เห็นเรือลำใหญ่ลึกลับปรากฏขึ้นทางด้านหัวเรือเมื่อเวลา 4.00น. และหลังจากนั้นไม่กี่วัน คนประจำเรือคนนั้นก็พลัดตกเสากระโดงเรือตายคาที่ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยด สยองอยู่ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้คำอธิบายปรากฏการณ์ฟลายอิงดัตช์แมน ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นมิราจหรือฟาตา มอร์กานา ที่เกิดจากการหักเห และการสะท้อน ที่พบเห็นในทะเล

ขอบคุณข้อมูล?http://atcloud.com/,?http://factstasy.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อุโมงค์พิพิธภัณฑ์ผีที่ปารีส





อุโมงค์พิพิธภัณฑ์ผีที่ปารีส
พูดถึงปารีสผู้อ่านคงนึกถึงหอไอเฟลเป็นอันดับแรก ช็อง เอลิเซ่ถนนสุดหรูเป็นอันดับตามมา หรือมงต์มาตร์แหล่งศิลปิน และอาจจะคิดถึงลูฟฟ์-พิพิธภัณฑ์อันลือเลื่องที่อุดมไปด้วยงานศิลปะล้ำค่า แต่ปารีสไม่ใช่มีเพียงลูฟฟ์เท่านั้นที่น่าสนใจในแง่ของการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ยังมีอีกแห่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งในการแวะชม ที่แห่งนั้นมีชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ผี ผู้เข้าเยียมชมจะต้องเดินลงลึกใต้ดินราว๒๐เมตร สิ่งแสดงหลักประกอบขึ้นจากกระดูกมนุษย์มากมายมหาศาลเกินจะประมาณ เลาะเลื้อยภายในอุโมงค์ใต้มหานครปารีสช่วงเขตมงต์ ปาร์นาสเซ่ อุโมงค์ผีแห่งปารีสนี้ซับซ้อนเป็นโครงข่ายเชื่อมโยงมีความยาวหลายร้อยกิโลเมตร ความเป็นมาต้องเริ่มต้นครั้งตั้งแต่พวกโรมันเข้าปกครอง การสร้างเมืองต้องการวัสถุดิบมาก จึงมีการขุดเพื่อทำเหมือง ต่อมาเมื่อเมืองขยายตัวขึ้น ส่วนที่เป็นเหมืองถูกความเจริญรุกไล่ พื้นที่ถูกถมหยาบๆด้วยเศษซากต่างๆ ไม่มีความหนาแน่น บ้านคนขยายสร้างทับถมลงนั้นเหมืองเก่าที่พรุนนั้น โดยหารู้ไม่ว่า ในศตวรรษที่18อาคารที่ถูกสร้างขึ้นบนโพรงเหล่านั้นจะถล่มลงมา
ในวันที่ 17เมษายน 1777 มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสำรวจศึกษาหาสาเหตุและแก้ไขปัญหานี้ วึ่งได้มีมติให้ปิดอุโมงค์ที่มีลักษณะที่ดูว่าอาจก่อให้เกิดอันตราย และในช่วงนั้นเองปารีสก็ประสบปัญหาที่คาดไม่ถึง เมืองเริ่มไม่มีพื้นที่สุสานเพื่อฝังศพรายใหม่ ถึงขนาดที่ว่ามีเกิดการติดสินบนนักบวชเพื่อให้ฝังศพญาติตนในพื้นที่ใกล้โบสถ์มากที่สุด และในเวลาไม่นานก็ไม่มีสถานที่ใดสามารถฝังร่างคนลงได้อีกเลย ในขณะที่บ้านคนเริ่มหนาแน่นขึ้น เกิดความคิดแก้ไขคือให้ฝังในแนวตั้ง ถมดินขึ้นในพื้นที่สุสานเดิม ระดับเนินดินในสุสานบางแห่งสูงกว่าระดับถนนถึง๑๐เมตร บางแห่งกำแพงรับน้ำหนักเนื้อดินที่ดันไม่ไหวต้องพังลง กลิ่นไม่พึงประสงค์รบกวนผู้คน ผู้คนเริ่มวิตกจริต ส่งผลในเวลาต่อมาให้เกิดการล้างป่าช้าทุกมุมในเมืองปารีส นำเอาซากร่างที่เหลือเพียงโครงกระดูกลงไปเก็บไว้ยังอุโมงค์ใต้ดิน และในปี 1785 โยงใยใต้มหานครก็เต็มไปด้วยโครงกระดูก
แม้จะมีความเชื่อกันโดยทั่วว่า การรบกวนคนตายเป็นเรื่องต้องห้าม จำเป็นต้องเคารพความเงียบสงบในชีวิตหลังการตาย ด้วยความเชื่อนี้จึงเกิดการก่อตั้งสำนักงานดูแลสุสานใต้ดินนี้ขึ้นในเขตพื้นที่ “ดี-อาร์ เมโทร” จัดตั้งในรูปของพิพิธภัณฑ์ นอกจากจะคอยดูแลกระดูกแล้ว ยังคอยให้ความรู้แก่คนทั่วไปด้วยว่าเหตุใดจึงมีการรวบรวมซากมหาศาลมาไว้ที่นั้น อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เที่ยวชม โดยจ่ายค่าเข้าชมเพียง5ยูโร ทางเดินอุโมงค์กว้างเพียง๖ถึง๘ฟุต ลงผ่านบันไดเวียน 130 ขั้นเพื่อลงยังเบื้องล่างใต้ผิวถนน๒๐เมตร เมื่อสิ้นสุดที่บันไดขั้นสุดท้ายจะพบห้องสองห้องที่มีภาพเขียนโบราณ และแสดงบอกถึงส่วนต่างๆภายในพิพิธภัณฑ์ผี และพอเมื่อออกจากส่วนนี้ก็จะเข้าสู่เขตสุสานอันแท้จริง
อุโมงค์ภายในบางจุดสูงเพียง๖ฟุต แต่บางจุดสูงถึง๑๒ฟุต และบางจุดเพดานจะสูงเทียมวิหารทั่วไป ผนังอุโมงค์เป็นหินปูนสีน้ำตาล เฉียบเย็นเมื่อสัมผัส พื้นทางเดินปูหินกรวดละเอียด ส่งเสียงดังสวบสาบเมื่อเท้าก้าวย่ำ หยดน้ำหยดที่มุมไหนซักแห่งสะท้อนก้องวังเวง ผนังยังมีภาพสลักเป็นระยะๆ สลับกับภาพกราฟฟริตี้ดูหม่นเศร้า และไม่ว่าเราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา ทุกการหักเลี้ยวจะทำมุมเก้าสิบองศาเสมอ
เมื่อเดินไปซักระยะหนึ่ง จะพบประตูแคบๆที่มีการเขียนรูปเสาขนาบไว้ เหนือบานประตูนั้นมีข้อความว่า “ที่แห่งนี้คืออาณาจักรมรณะ” แสงสว่างภายในน้อยมาก ฉะนั้นจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ต่อเมื่อเดินผ่านไปใกล้ๆเท่านั้น
ตรงช่องทางเดินเข้าคับแคบนั้นอุดมไปด้วยกะโหลกศีรษะและชิ้นส่วนกระดูกส่วนต่างๆ กะโหลกส่วนหนึ่งถูกจัดเรียงกองสูง 4 ฟุต ดูราวกับมีสายตานับคณาจ้องมาให้หวาดหวั่น แม้จะรู้ว่าไม่มีอะไร ก็ยังชวนสยองขวัญได้พอควร
ในส่วนอื่นๆของอุโมงค์ โครงกระดูกถูกจัดวางเรียงเป็นรูปแบบต่างๆ รูปกางเขน รูปหัวใจ วางโค้งสวยงาม และในลวดลายอื่นๆอีกมากในแบบรูปสมมาตร ลักษณะการเรียงส่วนใหญ่นั้นยากจะเข้าใจว่าเป็นรูปอะไร แต่ก็น่ากลัวจับใจ บางช่วงตอนกระดูกถุกประกอบเป็นโครง จัดวางนั่งนิ่งสวมใส่เสื้อผ้า แลคล้ายคนนั่งปลดปลงชีวิต
ในพื้นที่เปิดแสดงจะมีป้ายระบุชัดว่ามีแหล่งที่มาจากสุสานใดในปารีส วันเวลาที่นำเข้ามาจัดเก็บ เริ่มต้นเมื่อปี1785 จนมาสิ้นสุดเอาเมื่อปี1859 และเมื่อลองสมมติว่า คนที่นำกระดูกเหล่านี้มาเรียงร้อยจะรู้สึกเช่นไร กับการหยิบจับชิ้นส่วนนับล้านชิ้น ทางเดินชมของสุสานใต้ดินแห่งนี้ ตามแยกย่อยเล็กน้อยจะถูกไม่ตีขวางไว้เพื่อกันไม่ให้เดินเข้าเยี่ยมชมล่วงล้ำ และเป็นการกันหลงทาง ความยาว๑.๗กิดลเมตรนี้คือส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ในส่วนอื่นที่กันไว้ไม่ได้จัดแสดง กะโหลกและโครงกระดูกจะถูกโยนกองสุมไร้ระเบียบ
อุโมงค์เก็บรักษาโครงกระดูกนี้ ภายใต้โยงใยที่ทอดยาวซับซ้อนใต้ปารีส จะเห็นร่องรอยของประวัติศาสตร์มากมายเต็มไปหมด เช่น ช่วงตอนของการปฎิวัติฝรั่งเศส สงครามโลกครั้งที่๒ และบางจุดจะพบสถาปัตยกรรมแบบที่หาดูไม่ได้แล้วในปัจจุบัน ทว่าโดยรวมชาวปารีเซียงพึงใจที่เรียกชื่อมันว่าพิพิธภัณฑ์ผีมากกว่าชื่ออื่นใด
สำหรับเรื่องผีดุหรืออาถรรพ์นั้น เจ้าหน้าที่เล่าว่า มีบางคนที่ลงไปเที่ยวชมมาบอกต่อให้ฟังอีกทอดหนึ่ง ว่าได้ยินเสียงคนพูดคุยกันและเห็นบางอย่างอย่างเคลื่อนไหว อาจเป็นไปได้ว่า เนื่องจากในอุโมงค์มีแสงจำกัด เมื่อมีคนเดินผ่านก่อให้เกิดการบดบัง แสงที่ตกถึงกระดูกจึงวูบวาบแลดูคล้ายมีคนเคลื่อนไหว นอกจากนั้น เสียงน้ำหยดด้านในส่งเสียงสะท้อนทอดตามทางเดินยาว รวมทั้งเสียงผีเท้าที่บดบนกรวดละเอียดก็ทำให้บรรยากาศดูหลอน ๆ ได้เช่นกัน
สิ่งที่ควรคำนึงสำหรับผู้เข้าเยี่ยมชม ทั้งหมดที่พบในนั้นคือชิ้นส่วนของมนุษย์ผู้ครั้งหนึ่งเคยมีลมหายใจราวหกล้านคน พวกเขาได้ยอมเสียสละที่พักนิรันดร์ด้านบนเพื่อเปิดพื้นที่ให้ความศิวิไลซ์ของมหานครปารีส กระดูกเบื้องล่างอุโมงค์ไม่มีชั้นวรรณะ แม้ว่าครั้งหนึ่งซากหนึ่งอาจเป็นขุนนางและอีกซากอาจเป็นไพร่ ทว่าปัจจุบันนั้นกองเกยกันอย่างไม่รังเกียจรังงอน กระดูกลูกหลานทับถมบนกระดูกของบรรพบุรุษ รุ่นต่อรุ่นกว่า๓๐รุ่น การเที่ยวชมอย่างสงบถือเป็นการเคารพและให้เกียรติที่ผู้เข้าชมต้องพึงกระทำ
ไม่แน่ ขณะที่ท่านเดินชมด้วยความเงียบงัน ทางเดินคับแคบที่ทอดยาวนั้นอาจมีเสียงพวกเขากระซิบกระซาบขอบคุณแว่วมาก็เป็นได้